เทศน์พระ

คิดถูก

๑๖ ม.ค. ๒๕๖๑

 

คิดถูก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

แต่นี่เรามา เรามาลงอุโบสถ เราจะฟังธรรมะ ฟังสัจธรรม สัจธรรมเป็นสัจธรรมนะ เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเห็นภัยในวัฏสงสารใช่ไหม นี่โลกอยู่กันด้วยการปากกัดตีนถีบ ปากกัดตีนถีบทางหัวใจนะ ถ้าพูดถึงทางความเป็นอยู่ทางโลกๆ นะ ความเป็นอยู่ทางโลกมันช่วยเหลือเจือจานกันได้ทั้งนั้น งานทำเสร็จแล้วก็ส่งต่อให้ผู้อื่นทำต่อเนื่องไปๆ

แต่ในทางธรรมๆ เห็นไหม เรื่องของหัวใจ เรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย กับการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของบุคคลคนนั้นที่จะต้องเป็นผู้กระทำเอง ถ้าเป็นการกระทำเอง ต้องทำให้มันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ไม่ใช่มารยาสาไถย นี่มันทำด้วยความมารยาสาไถยมาแล้วก็ลูบๆ คลำๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ มันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง

ถ้าเป็นเรื่องความจริงๆ มันต้องสัจจะความจริง ตั้งสัจจะขึ้นมา ตั้งสัจจะขึ้นมา เห็นไหม ดูเข้าพรรษานี่ เวลาเข้าพรรษาขึ้นมาเห็นไหม เราอธิษฐานพรรษา แล้วอธิษฐานธุดงควัตร ใครต้องการทำสิ่งใด ใครมีกติกาสิ่งใดเพื่อตนเองก็กระทำเพื่อนั้น ถ้ากระทำเพื่ออย่างนั้น กระทำเพื่อเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา นี่การกระทำนั้นเป็นการกระทำแบบปุถุชน การกระทำของมนุษย์ การกระทำของพระ แต่เวลาเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงในหัวใจ

ใครทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ พอประสบความสำเร็จคือตลอดรอดฝั่งเห็นไหม มันก็ภูมิใจ ความภูมิใจอันนั้น ความภูมิใจในการเราตั้งกติกาแล้วเราทำได้ เห็นไหม เราก็ภูมิใจในการกระทำของเรา ถ้าเราภูมิใจในการกระทำของเรา เห็นไหม มีครั้งที่ ๑ ก็มีครั้ง ๒ มีครั้งที่ ๓ พรรษาที่ ๑ พรรษาที่ ๒ พรรษาที่ ๓ ก็ทำให้มากขึ้นๆ ทำให้มันเข้มแข็งขึ้น ทำให้มันดีขึ้น เพราะ เพราะธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลา ธรรมวินัยเป็นเครื่องขัดเกลาๆ เห็นไหม ถ้าเป็นความจริงๆ มันเป็นความจริงในใจเราไง

นี่เวลามันทุกข์มันยากๆ ที่นี่แหละ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คำว่าปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คือมันรู้ขึ้นมาในใจดวงนั้น ใจดวงที่ทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ ใจดวงที่มันทุกข์มันยาก เห็นไหม เพราะว่าเรามีสติมีปัญญานะ ถ้าเราไม่มีสติมีปัญญาเราก็ใช้ชีวิตทางโลกอยู่อย่างนั้น ถ้าใช้ชีวิตทางโลก เห็นไหม เนี่ยเขาบอกว่า ทางคับแคบเป็นทางของคฤหัสถ์ ทางคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบๆ เพราะเขาต้องทำหน้าที่การงานของเขา เห็นไหม อาบเหงื่อต่างน้ำมาตลอดทั้งวันเลย สุดท้ายแล้วเวลาจะภาวนาขึ้นมาก็มาสวดมนต์ก่อนนอน สวดมนต์ตอนเช้า แล้วก็นั่งภาวนาๆ นั้นนะทางคับแคบๆ เขามีโอกาสเท่านั้นไง

ถ้าเวลาที่มีอยู่ก็หน้าที่การงานเอาไปกินหมด นี่เวลาเอาความจริงๆ ความจริงเราก็เพียงแต่แบ่งไปจากหน้าที่การงานของเรามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร แล้วมาบวชเป็นพระ พระนี่ทางกว้างขวางๆ เห็นไหม นี่ผู้ที่มีภาระรับผิดชอบ ผู้ที่มีข้อวัตรเห็นไหม ก็รับภาระผิดชอบตามหน้าที่ของตน นอกจากนั้นก็เวลาภาวนาทั้งนั้น ๒๔ ชั่วโมง เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ ชั่วโมงนะ

เราบวชมาเป็นพระๆ เหมือนนกมีปีกกับหาง เห็นไหม กินแล้วก็บินไป นี่ที่ไหนมีลูกไม้ มีไม้ผลเราก็ไปกินที่ต้นนั้น กินเสร็จแล้วเราก็บินไปๆ พระเปรียบเหมือนนก ลงสู่คอนหาอาหารเสร็จแล้วก็บินไป เห็นไหม นี่ไร้ร่องรอยๆ นี่ไง ภิกษุเราๆ เป็นทางกว้างขวางไง ถ้าทางกว้างขวางมันก็กว้างขวางอย่างนี้ไง กว้างขวางเพื่อการกระทำในหัวใจของเราขึ้นมาไง 

ถ้าเป็นกลางหัวใจนี่ธรรมะ ธรรมที่ว่าสัจธรรม เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมีรัตนะ ๒ พระพุทธกับพระธรรม มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้ากับมีพระธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาแสดงธรรมขึ้นมาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เห็นไหม มีดวงตาเห็นธรรม นี่สงฆ์องค์แรกของโลก นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นที่ไหน เวลามันเป็นที่ในใจของพระอริยบุคคลนั้น มันเป็นในดวงใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นสมบัติของท่าน เป็นสมบัติของพระกัสสปะ เป็นสมบัติของพระอุบาลี เป็นสมบัติของครูบาอาจารย์ของเรา เป็นสมบัติของท่านๆ เพราะท่านทำได้ในใจของท่าน

เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราก็มาบวชเป็นพระ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราบวชแล้วเราก็มาเป็นพระป่าพระปฏิบัติ เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม มันก็เป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของเรา ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา เราต้องทำให้เป็นความจริงขึ้นมาสิ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นของเราขึ้นมา ถ้าเป็นขึ้นมา เห็นไหม แต่แล้วปฏิบัติอย่างไรล่ะ ปฏิบัติก็นี่ไง มีข้อวัตรปฏิบัตินี่ไง นี่ธุดงควัตรๆ เห็นไหม ธุดงควัตรเป็นธรรมวินัยๆ 

ธรรมวินัยที่เราศึกษาๆ นี่ ธรรมะเป็นธรรมชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นสมบัติสาธารณะไง ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราจะทำของเราให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เป็นในใจของเรา เห็นไหม ถ้าเป็นในใจของเรา มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานี่ศีล สมาธิ ปัญญา 

ศีล คนมีศีลมันจะปลิ้นปล้อนไหม คนมีศีลมีสัตย์มันจะตลบตะแลงไหม ที่มันตลบตะแลงก็เพราะมันไม่มีไง เพราะมันไม่มีศีลไม่มีธรรมไง ไม่มีศีลไม่มีธรรมก็ทำด้วยกิเลส เห็นไหม ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากดูถูกดูแคลนกันนะ ด้วยกิเลสของตน ยกตนข่มท่าน ยกเราให้สูงเชียว แล้วก็เหยียบคนอื่น มองคนอื่นนะต่ำทราม ต่ำช้า มองคนอื่นไม่มีค่า ดูถูกดูแคลนเขา ดูถูกดูแคลนด้วยกิเลส เห็นไหม

ดูทางโลกเขาฆ่ากัน มนุษย์ฆ่าได้หยามไม่ได้ นี่มันเหยียดหยามกันไม่ได้ ไปดูถูกดูแคลนเขา ไปเหยียบย่ำเขาได้อย่างไร นี่ไปดูถูกดูแคลนเขาๆ เห็นว่าต่ำชั้น นี่มีสิ่งใดก็จะเหยียบย่ำเขา ทำลายเขา คอยยุยงส่งเสริม คอยทิ่มคอยตำ คอยตอกลิ่มแบ่งแยกให้มันเป็นแบ่งฝ่าย นี่ไง การดูถูกดูแคลน การทำลายๆ ทำลายเพื่ออะไร ก็คิดว่าตัวเอง ตัวเองจะได้ผลประโยชน์ทั้งนั้นนะ คิดว่าตัวเองจะมีคุณภาพ คิดว่าตัวเองมีปัญญา ด้วยความดูถูกดูแคลนกัน ด้วยการเหยียบย่ำกัน การมองคนเป็นชนชั้น มองคนต่ำไร้ค่า นั่นเพราะการดูถูก

การดูถูกทางโลกนะ การดูถูกมันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของมารยาสาไถย เพราะมารยาสาไถยนี่ด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยกิเลส ดูถูกมาก เห็นคนอื่นไม่มีค่า เห็นคนอื่นจนตรอกจนมุม แล้วไม่มีน้ำใจอะไรกับใครทั้งสิ้นใช่ไหม ไม่ทำสิ่งใดอะไรเลยทั้งสิ้นใช่ไหม ถ้าไม่ทำสิ่งใด ทั้งสิ้นมันเป็นประโยชน์กับใคร มันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย แต่ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เห็นไหม ถ้าใจเป็นธรรมๆ ใจเป็นธรรมนะ แม้แต่ทางโลกคนที่ใจเขาเป็นธรรมนะ เขาคิดแต่เรื่องดีๆ เขาคิดแต่เรื่องที่มีน้ำใจต่อกัน คิดถึงเห็นใจต่อกันนะ มีมากมีน้อยเราก็แบ่งสันปันส่วนกัน

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาเป็นเรื่องแบบนี้สำคัญมาก สำคัญมากเพราะท่านเป็นธรรมไง เป็นธรรมต้องแบ่งให้เสมอภาคกัน จะพรรษามากพรรษาน้อยไม่สำคัญ เห็นไหม คนเราเกิดมานี่บางคน เห็นไหม บางคนอยู่ที่ธาตุขันธ์ของเขา บางคนต้องฉันมากต้องกินมากมันถึงจะรู้จักอิ่ม บางคนกินแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็อิ่ม เห็นไหม มันอยู่ที่ธาตุขันธ์ของคน เขาฝึกมาอย่างไรอย่างนั้น แล้วจะให้เท่ากันโดยกินคนละคำเหมือนกันนั้นมันเป็นไปไม่ได้

คนที่เขาต้องใช้พลังงานมาก เพราะเขาเคยอย่างนั้นนะ ก็ต้องให้เขา ๕ คำ เรา ๑ คำนี่เสมอภาค เสมอภาคด้วยความเป็นอยู่ที่พอเป็นไป แต่ไอ้เรื่องมากเรื่องน้อยนั้นมันเป็นเรื่องนิสัย เรื่องธาตุขันธ์ มันเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ๆ แต่ถ้าของมันไม่มี เห็นไหม เราก็ต้องได้คนละคำเหมือนกัน นี่ไอ้สิ่งนั้นมันก็เป็นจริตเป็นนิสัยมันก็ต้องฝึกหัดขึ้นมา มันมีปัญญา มันมีมุมมอง มุมมองเราจะทำอย่างไรให้มันเสมอภาค ทำอย่างไรให้อยู่กันด้วยความร่มเย็น ทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์ 

ถ้าคนมีปัญญานะ มีปัญญาเขายังเสมอภาคตั้งแต่ความเป็นอยู่ เห็นไหม ทั้งๆ ที่ยังมีกิเลสในหัวใจนะ เพราะกิเลสในหัวใจของเรา มันก็เต็มหัวใจเราก็รู้อยู่ เห็นไหม แต่พอเราศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีน้ำใจต่อกันๆ ไง เราก็มีน้ำใจต่อกันเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับสงฆ์ เพื่อประโยชน์กับความเป็นอยู่ เห็นไหม ถ้ามีอย่างนั้นขึ้นมา อยู่ที่ไหนก็มีคนรักคนชอบ ถ้าอยู่ที่ไหนมันก็มีคนร่วมไม้ร่วมมือไง แต่ถ้ามันไม่มีน้ำใจต่อกัน ใครจะให้ความร่วมมือ มันไม่ให้ความร่วมมือ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะคิดว่าเราจะได้ไง 

มันมีใครได้ นี่มันเกิดมาแล้วตายหมด เวลาเกิดมาแล้วสิ่งที่จะเป็นสมบัติ เห็นไหม ดูสิ พระเรามีอะไรเป็นสมบัติ มีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ อัตตัตถสมบัติของส่วนบุคคล ส่วนบุคคลจะมีขึ้นมาก็มีเพราะการประพฤติปฏิบัติของเรานี่มันจะเป็นสมบัติของเรา สิ่งที่เราอยู่ กรรมเก่ากรรมใหม่นะ กรรมเก่าทำให้เราเกิดเป็นมนุษย์ไง เราเกิดมาแล้วให้เรามีสติมีปัญญา เรามาบวชๆ เห็นไหม มาบวชในพระพุทธศาสนาๆ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้

นี่พุทธบริษัท ๔ ที่เขาเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาถึงวัฒนธรรมของเขา เขาพยายามทำเพื่อผลประโยชน์ของเขา เพราะด้วยปัญญาของเขาว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเขา เขาถึงได้ตักบาตร เขาถึงได้ทำบุญกุศลของเขา เพราะเขาว่าเป็นผลประโยชน์ของเขา ไอ้เราก็เกิดมาเป็นพระๆ เป็นนักพรต เป็นนักบวชไง พอนักบวชขึ้นมา เห็นไหม เราเป็นพระขึ้นมา เห็นไหม เราก็เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งๆ เห็นไหม เราบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เห็นไหม

สิ่งที่ว่าพระป่า กฐินที่ได้มา ได้มาก็เพื่อสงฆ์ เพื่อสงฆ์ใช้จ่ายในความเป็นอยู่ของหมู่สงฆ์ เห็นไหม นี่ไง ต่างคนต่างทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเราไง นี่ไงเพราะเราทำหน้าที่ของเราเพื่อประโยชน์กับเรา นั่นมันเป็นประโยชน์กับเขา เขาเห็นประโยชน์ของเขานะ ผลประโยชน์ของเขานะ เขาถึงทำไง ไอ้เราก็ต้องเห็นผลประโยชน์ของเราไง เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา ทำเพื่อเป็นความจริงความจังของเราขึ้นมาไง 

ถ้าเป็นความจริงความจังขึ้นมานะ มันจะเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าในการใช้จ่าย เห็นคุณค่าในการใช้สอย เห็นคุณค่าทั้งนั้น เพราะน้ำพักน้ำแรงมา เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมากว่าเขาจะหยิบได้สมบัติสักชิ้นหนึ่งมา แล้วเขามีน้ำใจของเขา เขามาถวายในวัดนี้ แล้ววัดนี้ได้มาทำประโยชน์อะไร ใช้ประโยชน์มันคุ้มค่าไหม 

ถ้าใช้คุ้มค่านะ เราต้องรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เอาตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่นขึ้นมา เห็นไหม ท่านรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักใช้สอยของท่าน เพื่อประโยชน์กับท่านเห็นไหม แล้วเป็นตัวอย่างๆ ไง แล้วพระนี่ ดูสิ อาจารย์ใหญ่ของวงกรรมฐาน ท่านวางรากฐานไว้ให้พวกเรา แล้วพวกเรามาทำนี่ถ้ามีน้ำใจต่อกันมันก็ไม่ดูถูกดูแคลนกันไง เราเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์เหมือนกัน การหยิบ การใช้จ่าย การใช้สอยนี่มันก็อยู่ที่คนที่มันประหยัดมัธยัสถ์มากน้อยแค่ไหน 

แต่เวลาเราเข้าหมู่แล้วเราฝึกหัดนะ นี่อย่างสีผ้าๆ เวลาเราเข้าหมู่แล้วมันจะรู้เลยว่าสีไปทางไหน เห็นไหม นี่การเข้าหมู่ นี่ก็เหมือนกัน การอยู่ในหมู่สงฆ์ การอยู่ในหมู่คณะนี่มันจะเห็นไปหมด อะไรเป็นประโยชน์และอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ไง ถ้าเป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ไม่ใช่ไม้ไผ่แตกก่อ เราจะเด่นออกคนเดียว เราจะฉีกออกไปอยู่คนเดียวนะ บ้าบอคอแตกอยู่อย่างนั้นนะ แล้วก็ดูถูกดูแคลนเขา ดูถูกดูแคลนด้วยกิเลสนะ

แต่เวลาอยู่กับหลวงตาอยู่กับหลวงปูมั่น เห็นไหม ท่านดูถูกจริงๆ ดูถูกคือดูกิเลสเราออกไง ดูถูกต้องชัดเจนเลย ถ้าทำอย่างนี้มันจะได้ผลอย่างนั้น กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้าทำแล้วมันได้ผลนะ กรรมต้องให้ผลแน่นอน ถ้ากรรมให้ผลแน่นอน ถ้าใจเป็นธรรมแล้วดูถูก ถูกต้องดีงาม เห็นไหม ถูกต้องดีงามนั้นเป็นกิเลส เห็นไหม ผิดศีลผิดธรรมมันไม่ใช่ธรรม ถ้าไม่ใช่ธรรม ไม่มีใครเขาทำ ครูบาอาจารย์ท่านไม่ทำ ไม่ทำหรอก เพราะมันผิดศีลผิดธรรม ไม่มีใครเขาจะทำกัน

แล้วถ้าใครทำผิดศีลผิดธรรม เห็นไหม นี่ดินพอกหางหมู กรรมมันจะสะสมไปอย่างนั้นนะ เวลากรรมมันสะสมไปแล้ว ถึงเวลาแล้วนี่กรรมมันให้ผล ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรมนะ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ ไม่มีใครเป็นผู้บงการ มันเป็นการกระทำของผู้นั้นเอง ผู้นั้น นี่ไง เริ่มต้นก็จากการดูถูกดูแคลนคนอื่นเขาก่อน ความดูถูกดูแคลนคนอื่นเขาก่อนก็เลยต้องอยู่คนเดียวนั่นไง เพราะอะไร เพราะมันไม่มีใครเข้าใกล้ มันเหม็นไง กลิ่นเหม็นเห็นไหม กลิ่นมันเหม็นคลุ้งไปหมด ใครจะเข้าใกล้ได้

นี่ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประหยัดมัธยัสถ์ของท่าน เวลาหลวงตาท่านพูดเห็นไหม เวลาพูดถึงทางโลกๆ ท่านเหมือนเศษคน เพราะท่านไม่มีสิ่งใดอำนวยความสะดวก หลวงปู่มั่นท่านไม่เอาอะไรทั้งสิ้น แต่ลูกศิษย์ลูกหาประชาชนล้อมหน้าล้อมหลังเข้าหาทั้งนั้นเลย กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม ถ้าเป็นความจริงๆ นะ มันจะอัตคัดขาดแคลนขนาดไหนทุกคนที่ใฝ่หา ทุกคนแสวงหา เขาก็เข้าไปเพื่อประโยชน์ผลประโยชน์ของเขา เพื่อบุญกุศลของเขา เพื่อจิตใจที่เรียกร้องของเขา จิตใจมันเรียกร้อง จิตใจมันโหยหา จิตใจมันต้องการความจริง จิตใจต้องการคุณธรรม จิตใจมันต้องการให้คนช่วยเหลือ แล้วใครมันจะช่วยเหลือได้ ถ้ามันไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงไง

ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เห็นไหม หัวใจมันเรียกร้อง หัวใจมันโหยหา หัวใจมันปรารถนา หัวใจมันอยากไป มันไปหาของมัน เห็นไหม นั่นน่ะถ้าเป็นครูบาอาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม หลวงตาท่านพูดประจำ ฟังแล้วมันฝังใจเรามาตลอด ถ้าพูดถึงทางโลกมันเศษคน ไม่มีค่าๆ สำหรับทางโลก ถ้าเอาคุณค่าทางโลก ความเป็นอยู่ทางโลกมาวัดกัน แต่ถ้าเป็นทางธรรมๆ เศรษฐีธรรม เศรษฐีธรรมที่ยิ่งใหญ่ หัวใจว่าง หัวใจมีคุณธรรม หัวใจไม่มีสิ่งใดปกปิดในใจนั้น เห็นไหม แล้วดูลูกศิษย์ลูกหาดูถูกต้องดีงามทั้งนั้น อะไรควรไม่ควร

นี่หลวงตาท่านพูดเอง เพราะตัวท่านนะ ท่านบอกเลย ท่านเป็นพรานป่านะ แต่ท่านก็เป็นคนกลัวเสือมาก ท่านให้หลวงตาไปอยู่ในที่ที่มีเสือ นี่แล้วท่านเชื่อ เชื่อว่าหลวงปู่มั่นท่านไม่ทำลายใครทั้งสิ้น ท่านเองท่านก็ใฝ่หา ท่านเองท่านก็แสวงหาความจริง ท่านก็ไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นสั่งเองให้ไปอยู่ในป่าที่มีเสือ แล้วพอบังเอิญพี่ชาย พี่ชายมาเยี่ยม มาหาท่านที่หนองผือ หลวงปู่มั่นบอกว่าอยู่ที่นั่น

นี่ท่านก็เลยไปเยี่ยมน้องชายท่าน พี่ชายของหลวงตา พี่กับน้องรู้จักนิสัย รู้จักว่าชอบหรือกลัวอะไร พอไปถึงไปเดินดูสถานที่นั้น โอ้ เห็นแล้วมันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจ น้องเรานะ พี่กับน้อง น้องเราเป็นอย่างไร เราก็รู้จักอยู่ น้องของเรากลัวมากในเรื่องสถานที่อย่างนี้ เสือกลัวเป็นนิสัยเลย แล้วมาอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร เดินวนดูนะ เดินดูสถานที่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของพี่ชาย เสร็จแล้วกลับบ้าน พอเขากลับไปบ้านก็ไปรำพันที่บ้าน

เวลาหลวงตาท่านกลับมาเยี่ยมโยมแม่ โยมแม่ท่านเล่าให้ฟัง บอกว่าพี่ชายไปเห็นน้องชายวันนั้น กลับมาถึงแม่นะ มานั่งร้องไห้กับแม่ บอกไอ้บัวนะ มันไปอยู่สถานที่อย่างนั้น มันนิสัยมันเป็นอย่างนั้น มันกลัวขนาดนั้นนะ มันไปอยู่อย่างนั้นได้อย่างไรๆ โอ๊ย มันรำพึงรำพัน รักน้อง ห่วงน้อง สงสารน้องๆ น้องที่กลัวเสือมาก แล้วไปอยู่ในสภาพแบบนั้นนะมันจะทุกข์ขนาดไหน ร้องไห้ ร้องไห้แล้วร้องไห้อีกนะ

แต่นี้มันก็เป็นความเห็น เป็นความจริง เป็นสายเลือด เป็นเรื่องของความจริง ความจริงที่ว่าเกิดมาด้วยกัน พี่กับน้องโตมาด้วยกัน รู้จักนิสัยกัน แล้วเวลาไปเยี่ยมนะ เห็นไหม หลวงปู่มั่นให้ไปอยู่กับเสือ นี่เห็นไหม ดูถูก ดูถูกต้องดีงามอยากจะฝึก เห็นไหม เวลาท่านฝึกของท่านได้แล้ว เวลาหลวงตาท่านเล่า เห็นไหม เวลาพระขึ้นไปจับเส้นหลวงปู่มั่น เห็นไหม หมู่คณะถ้าเราไม่อยู่แล้วให้พึ่งมหานะ มหาดีทั้งนอกและดีทั้งใน

นอก นอกคือข้อวัตรปฏิบัติ นอกคือน้ำใสใจจริงที่ไม่ทิ้งหมู่คณะ นอกคือคอยดูแลพระเณรด้วยกัน 

ใน ในคือสัจธรรมในใจ ในสัจจะในใจหลวงปู่มั่นท่านเป็นคนปั้นมากับมือ หลวงตาท่านพูดเอง หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามาๆ เห็นไหม หมู่คณะถ้าเราเสียไปแล้ว หมู่คณะจะพึ่งใครล่ะ ถ้าจะพึ่งได้ให้พึ่งท่านมหานะ ท่านมหาดีทั้งนอก ดีทั้งใน นอกคือความเป็นอยู่ นอกคือสังคม นอกคือหมู่คณะ นอกคือวินัย 

ใน ในคือในหัวใจ ในหัวใจที่ทำดีแล้ว ในหัวใจที่เราได้ฝึกฝนดีแล้ว นี่จะเป็นคนชี้ทางเดินในใจได้ ในใจทางเดินในใจนั้นมันต้องเดิน เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านดูถูก ดูถูกต้องดีงาม ท่านดูถูก ถูกตามธรรม ดูถูกตามสัจจะ ดูความเป็นจริง ความเป็นจริงที่มันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ท่านต้องดูให้มันถูกต้องดีงามแล้วหมั่นรักษามาอย่างนั้น ถ้าหมั่นรักษาขึ้นมา เห็นไหม ปั้นแต่งขึ้นมา เป่ากระหม่อมมาๆ เห็นไหม การดูถูกๆ ให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

แต่ทางโลกดูถูก ดูถูกโดยกิเลส ดูถูกคือเหยียบย่ำเขา แบ่งชนชั้นเขา อยากอยู่เหนือเขาโดยที่ไม่มีคุณสมบัติที่เหนือเขา ถ้าจะอยู่เหนือเขาโดยที่ไม่มีคุณสมบัติที่เหนือเขา มันก็อยู่ด้วยอิทธิพล อยู่ด้วยการกดขี่ ใครมันจะยอมให้ใครกดขี่ มันเป็นไปไม่ได้ ดูสิ ในทางโลก เห็นไหม ดูสิ เวลาข้าราชการ ตำรวจเขามีกฎหมายไว้นะ เขาถือกฎหมายไว้ เพื่อหาผลประโยชน์ไง ไอ้นี่ก็เหมือนกันเราบวชมาเป็นพระ เราไม่ใช่ตำรวจ ธรรมและวินัยเขาเอาไว้บังคับเรา นี่ศึกษาธรรมวินัยเอาไว้แก้ไขกิเลสเรา ไม่ใช่เอาธรรมวินัยนี่ไปเที่ยวรีดไถ ไปเที่ยวกดขี่คนนู้นคนนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะความเป็นไปไม่ได้นะ พอไปกดขี่เขาแล้วนะ คนโดนกดขี่ใครจะยอมรับ มันก็หลุด มันก็ปลิ้นปล้อน มันก็หลุดไปหมด บิดพลิ้วไม่มีใครอยู่ในความเชื่อของตนหรอก

แต่ถ้ามันเป็นข้าราชการตำรวจ ตำรวจที่ดี ตำรวจของประชาชนๆ จิตใจโอบอ้อมอารี เห็นไหม ถ้าผู้ร้าย ถ้าคนทำผิดกฎหมายเขาก็จะวินิจฉัยผิดตามกฎหมายนั้น ปกป้องสังคมให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม ตำรวจที่ดี ตำรวจที่เขาเชื่อฟัง ตำรวจที่เขาเห็นธรรมวินัยเห็นกฎหมายเป็นกรอบไว้บังคับใช้กับสังคม เขาใช้ด้วยความเป็นธรรมๆ เห็นไหม นี่เพื่อประโยชน์กับเขา ประชาชนรักตำรวจอย่างนั้น ปรารถนาให้ตำรวจอย่างนั้นเป็นผู้คุ้มครองดูแล ดูแลประชาชน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นพระๆ เห็นไหม ในหมู่คณะเห็นไหม ถ้าเราไม่ดูถูกดูแคลนใคร เราไปดูถูกดูแคลนผู้บวชใหม่ก็ไม่รู้ก็เป็นเรื่องธรรมดา คนที่ฝึกปฏิบัติยังไม่ได้นะ เขาไม่รู้จักกิเลสเขาหรอก ถ้าไม่รู้จักกิเลสเขา เราจะฝึกฝนเขาอย่างไร ถ้าเราเป็นธรรมนะ เป็นธรรมแบบหลวงปู่มั่น ใครกลัวสิ่งใด ใครสิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่มันขัดแย้งกิเลสในใจของตน ท่านให้ทำอย่างนั้นๆ นะ ท่านให้ทำอย่างนั้น ทำเพื่อแก้กิเลสของเขาไง

แล้วถ้าเขาแก้กิเลสของเขาได้นะ เขาซาบซึ้งบุญคุณนะ คนกลัวผีให้ไปอยู่ที่ป่าช้า คนกลัวเสือคือสั่งให้ไปอยู่กับเสือ ไปอยู่กับเสือให้มันต่อสู้กับกิเลสของมันไง ให้มันต่อสู้กับความกลัวในใจอันนั้นไง ด้วยสติด้วยปัญญาอันนั้นไง นี่การฝึกฝนไง การดูถูกไง ถูกต้องดีงามๆ ตามธรรมตามวินัยไง กับดูถูกโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูถูกโดยการเหยียบย่ำทำลายเขาไง 

ถ้ามันดูถูกดูผิด เวลามันผิดพลาด มันผิดพลาดไปหมดนะ ถ้ามันดูถูกตามธรรมตามครูบาอาจารย์นะ เพราะท่านรู้จักกิเลส มันต้องรู้จักตัวตนของตน ต้องรู้จักว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วเกิดขึ้นมา เราเองประพฤติปฏิบัติมานะมันมีช่องทางอย่างไร ถึงไปรู้ไปเห็นเรื่องอย่างนี้เข้า พอไปรู้ไปเห็นอย่างนี้เข้า ถึงพยายามพลิกแพลง พยายามแก้ไขมา จนมันหลุดรอดมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เราทำมาๆ คนที่ทำมามันมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีอำนาจวาสนาแบบครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ท่านก็มาสั่งสอนได้ไง

แต่ถ้าคนทำแล้วมีอำนาจวาสนาไม่ทั่วถึง เห็นไหม ก็เอาตัวรอดได้อย่างเดียว เห็นไหม จะสั่งสอนจะบอกคนอื่น มันบอกด้วยวิธีการอย่างไร เช่น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งนั้น ๘๐ องค์นะ เอตทัคคะ ๘๐ ทางๆ ก็ความชำนาญของเขาความถนัดของเขา ถ้าความถนัดของเขานะ นี่ความถนัดของสาวกสาวกะไง สิ่งที่จะเป็นครบสมบูรณ์ๆ ก็มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วเป็นจริงด้วย ดูถูกต้องชอบธรรมตามธรรมตามวินัย ตามจริตนิสัย ตามคุณประโยชน์ของเขา

เขาจะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ถ้าเขาควรได้ประโยชน์ในการระดับของทาน ก็ให้เขาทำทานของเขา ให้เขาสร้างบุญกุศลของเขา เขาภาวนาของเขายังไม่ได้ก็พยายามให้เขาฝึกฝนของเขา ฝึกฝนไว้เป็นจริตเป็นนิสัย เป็นอำนาจวาสนาบารมีให้ติดหัวใจเขาไป หลวงตาท่านพูดประจำนี่ให้พุทโธๆ ให้มันติดกับหัวใจนี้ไป ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ สาธุ นั้นคือเป้าหมายของการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่คนจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนี่ เห็นไหม มันต้องมีวุฒิภาวะ 

ความว่ามีวุฒิภาวะ เห็นไหม ถ้ามันตั้งสติ สติมันก็มั่นคง สติมันก็แข็งแรง มันก็สามารถควบคุมความคิดได้ ถ้ามันพุทโธๆๆ กับจิตมันก็กลมกล่อมกัน มันก็เป็นการประสานกัน จนเป็นเนื้อเดียว จนเป็นพุทโธเสียเอง เห็นไหม ถ้ามันมีอำนาจวาสนามันจะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วถ้าคนมีอำนาจวาสนามากขึ้นไปกว่านั้น เห็นไหม พอจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนานี่ เขาทำของเขาด้วยความถูกต้องชอบธรรมนะ คนที่ไม่มีอำนาจวาสนานะมันก็ไพล่ไป เห็นไหม ไพล่ไปให้ไปดูตามกิเลสไง กิเลสมันก็พลิกมันก็แพลงไง กิเลสมันก็บังเงาไง กิเลสมันก็อ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

กิเลสมันอยู่หลังฉาก มันเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอยู่หน้าฉาก แล้วมันก็ปลิ้นปล้อนว่าพิจารณาอย่างนั้นพิจารณาอย่างนี้ โดยที่ไม่มีความเป็นจริงในหัวใจ เห็นไหม ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนาเขาก็ทำอยู่อย่างนั้นนะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีวาสนา เห็นไหม ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนานะ มันจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง ถ้าตามความเป็นจริงมันพิจารณาไปแล้วมันสะเทือนกิเลส มันโดนกิเลส เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านพูด เห็นไหม เวลาภาวนาๆ ขึ้นมา ภาวนาโง่เหมือนกับหมาตาย ไม่เคยเห็นหน้ากิเลส ไม่เคยเห็นความถลอกปอกเปิกของกิเลส กิเลสไม่เหมือนถึงกับเลือดซิบๆ เลย กิเลสมันไม่สะเทือนมันเลย ไม่มีความเห็น ไม่มีความมุ่งหมายเข้าถึงกิเลสเลย เห็นไหม นี่โง่เหมือนหมาตาย 

แต่ถ้าคนเขาฉลาดๆ เห็นไหม เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานี่ แล้วมันมาจากไหน คนมันต้องมีอำนาจวาสนานะ ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา ดูสิ ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่มันไม่เหมือนกัน ความมั่นคงของใจของคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนเห็นไหม มีสัจจะ พูดคำใดเป็นคำนั้น พอพูดแล้วนะเขารักษาคำพูดของเขา บางคนนะปลิ้นไปเลยนะ ปลิ้น ปลิ้นปล้อนกะล่อนไปตลอด ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น นี่ไงมันก็วาสนาของเขา เขาทำของเขามาอย่างนั้นไง 

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาใครประพฤติปฏิบัติแล้วมีเหตุผลสิ่งใดหรือขัดข้องสิ่งใดจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกเลยอดีตชาติเขาเคยเป็นอย่างนั้น เขาเคยทำอย่างนั้น ชาตินี้ก็มาเป็นอย่างนี้อยู่อีก เห็นไหม มันมาจากนั่นน่ะๆ

เวลาเราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามาประพฤติปฏิบัติกันมันถึงอยู่ตรงนี้ไง มันถึงต้องให้เราพิจารณาของเรานี่ไง ให้เราพิจารณาของเรา เห็นไหม ให้มันเป็นจริตนิสัยติดกับหัวใจนี้ไปไง ให้มันเป็นพื้นฐานของบารมีธรรมในใจไง ถ้าเป็นพื้นฐานบารมีใจ เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สาวกสาวกะเห็นไหม ๑ แสนกัป นี่มันต้องมีพื้นฐานมาจิตใจมันถึงตั้งมั่น มันถึงมีสัจจะ มันพูดคำไหนคำนั้น มันพูดเป็นจริงเป็นจัง เห็นไหม

นี่เวลาหลวงตาท่านพูดคำไหนคำนั้น ถ้าตั้งสัจจะแล้วตลอดรุ่งต้องตลอดรุ่ง ท่านตั้งสัจจะแล้วทำอย่างไรต้องทำอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่สิ้นกิเลสๆ ส่วนใหญ่แล้วนี่เขามีสัจจะ เขามีความซื่อตรง เขามีความจริงใจ แล้วถ้าจะดูถูกก็ถูกกิเลส ดูถูก เห็นไหม ดูธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของยิ่งใหญ่ เป็นของที่มีคุณค่า ธรรมและวินัยนี้ยิ่งใหญ่มาก แม้แต่ว่าคำว่าสติ เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด เห็นไหม ใครๆ ก็บอกว่าพระป่านี่ไม่ศึกษา ไม่เคารพพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านพูด เวลาหลวงปู่มั่นท่านมาที่วัดป่าสุทธาวาส มาที่ไหน หลวงตาท่านไปด้วย เห็นไหม ท่านไม่ยอมนั่งเด็ดขาด ถ้ายังมีหนังสือวางอยู่บนพื้นที่เสมอกับเรา ท่านบอกว่าตัวอักษร ตัวหนังสือนี่ มันสามารถสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ต้องยกไว้ในที่สูง ต้องยกไว้บนหิ้ง ต้องมีที่ตั้ง ท่านถึงจะยอมนั่ง 

นี่อย่างนี้หรือไม่เคารพ คนมันเคารพขนาดนั้น ไม่ได้เคารพแม้แต่พระไตรปิฎกนะ เคารพแม้แต่ตัวอักษรที่สื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ นี่นิสัยหลวงปู่มั่นที่มีสัจจะอย่างนั้น ท่านถึงมีอำนาจวาสนาอย่างนั้น เวลาท่านมองสิ่งใด ท่านพิจารณาอย่างใดด้วยสติด้วยปัญญาของท่าน มันถึงดูถูกต้องดีงามตามธรรมไง ไม่ใช่อย่างเราดัดจริต ดูถูกเหยียดย่ำเขา ดูถูกดูแคลนไง ต้องเหยียบบ่าเขา เหยียบหัวเขา ให้เขาอยู่ในอำนาจของเรา ใครมันจะยอม ไม่มีใครเขายอมอยู่ในอำนาจใครหรอก ความรู้สึกของคนมันยอมแต่ความถูกต้องดีงามเท่านั้น

ยอม เห็นไหม ดูสิ ที่ยอมครูบาอาจารย์เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ท่านทุกข์ท่านยากมาก่อน เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาเขาเอาใบสะระแหน่ไปถวายท่านนะ ท่านบอกพอเห็นแล้วมันคิดถึงทันทีเลย คิดถึงตอนท่านอยู่ในป่าในเขาเก็บพวกนี้กิน คนที่อยู่ป่าอยู่เขา คนที่ทุกข์ยากมานี่นะ พอเห็นอะไรมันย้อนได้ มันคิดถึงทั้งนั้นนะ เพราะท่านได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอย่างนี้มา

คนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต ผ่านการธุดงค์ ผ่านการทุกข์การยากมานี่ แล้วเพราะการผ่านมาอย่างนั้นมันถึงควบคุมดูแลหัวใจได้ แล้วมาเป็นผู้นำ มาเป็นครูบาอาจารย์นี่ เขาลูกศิษย์ลูกหาจะให้เขากินอิ่มนอนอุ่นแล้วเขาก็ทุกข์ในหัวใจ กับให้เขารู้จักปฏิสังขาโย พิจารณาแล้วพิจารณาอีก การใช้การสอยแล้วหัวใจก็ดีงามนี่ เราจะให้เขาทำอย่างใด ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นี่เราอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมมานะ ท่านประหยัดมัธยัสถ์

เวลาคนมองจากภายนอกก็อย่างหนึ่ง เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์เราจะเข้าถึงตัวแล้วคุยกับท่าน เพราะถ้าเป็นธรรมนะ อยากศึกษา เวลาท่านพูดเรื่องอย่างนี้ พูดถึงเรื่องความประหยัดความมัธยัสถ์ พูดถึงน้ำใจของผู้ที่จะแสวงหา ผู้ที่เขาจุนเจือศาสนา เห็นไหม ศรัทธาไทยไม่ให้ตกร่วง ศรัทธาไทยควรจะให้เขาชื่นบาน บุญกุศลของเขาจะได้หรือไม่ได้ เราฟังอย่างนี้ ฟังใกล้ๆ นะ ฟังใกล้ชิดท่าน ท่านพูดอย่างนี้ พูดถึงความประหยัดมัธยัสถ์ เพราะคนเข้ามา ทุกคนเวลาคิดแบบเขา แล้วเขามา เห็นไหม เขาก็อยากจะให้พระนี่อยู่ดีมีสุขทั้งนั้น

แล้วเราลองใช้ชีวิตแบบนั้นสิ ไอ้คนที่ประหยัดมัธยัสถ์ ไอ้คนที่กับเขาเป็นคุณธรรม ใจ ที่เขาเป็นธรรม เขามองว่า โอ้ พระองค์นี้หลงแล้ว พระองค์นี้ติดโยม พระองค์นี้เกรงใจโยม พอโยมเอานู้นมาให้ เอานี่มาให้ ก็เชื่อถือศรัทธา โอ้ เจริญศรัทธาๆ ครูบาอาจารย์ท่านเศร้าใจนะ ไอ้พระองค์นี้ชะตาขาด ใกล้จะล้มเหลวแล้ว ใกล้จะหมดอายุขัยของความเป็นพระแล้ว นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านดูถูก ดูถูกอย่างนี้ ดูถูกว่า หนึ่ง ของเขาก็เป็นของเขา บุญกุศลของเขาก็เป็นของเขา ปฏิคาหกเขาหามามันก็เป็นบุญกุศลของเขา เป็นเจตนาของเขา ไอ้เรานี่เราเป็นพระนี่ เราควรจะใช้ประโยชน์อย่างไร รู้จักประหยัดมัธยัสถ์

นี่ไง ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านพูดอย่างนี้ หลวงปู่กงมา เห็นไหม เมืองจันท์ฯ ร้องไห้เลยน่ะเห็นพระ ความเป็นอยู่ของพระนี่ ศาสนาเสื่อมแล้วล่ะ ศาสนาหมดแล้ว เพราะอะไร เพราะกินซีฟู้ด กุ้ง หอย ปู ปลา เต็มไปหมดเลย เวลาท่านอยู่ หลวงปู่เจี๊ยะเวลาท่านพูดเอง นี่ไอ้หงบมึงรู้ไหม เวลากูอยู่เชียงใหม่ เป็นความลับนี่ กูกินอะไรรู้ไหม กินข้าวเหนียวกับกล้วย กินอะไรไม่ได้เลย วันไหนบิณฑบาตได้ปลาสร้อยตัวหนึ่ง วันนั้นเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง นี่หลวงปู่เจี๊ยะพูดกรอกหูกูอยู่นี่ เวลาท่านพูดถึงความเป็นอยู่กับหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ ๓ ปีนั่นนะ หลวงปู่มั่นฉันอะไร หลวงปู่มั่นเวลาได้ปลาสร้อยตัวเดียว วันนั้นๆ ถูกรางวัลที่หนึ่ง แล้วถ้าไม่ได้ปลาสร้อยมันฉันอะไร แล้วหลวงปู่เจี๊ยะนิสัยของท่าน ท่านลูกคนมีตังค์ เห็นไหม เวลาจะไปอยู่กับหลวงปู่มั่น พ่อแม่ท่านร้องไห้ตลอดเวลานะ จะไปได้อย่างไรๆ 

คนไม่เคยทุกข์ไม่เคยลำบากเลย แต่ด้วยหัวใจที่มันเรียกร้องที่มันโหยหา เพราะมันภาวนาได้แล้ว ต้องหลวงปู่มั่นเท่านั้นๆ เวลาไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม หนาวก็หนาว อาหารก็ไม่มีจะกิน แต่ด้วยหัวใจด้วยความผูกพันกับหลวงปู่มั่น เห็นไหม นี่เพราะด้วยความเป็นจริง มันทุกข์มันยากมาอย่างนั้น เวลามันเป็นจริงขึ้นมาๆ โดยที่หลวงปู่มั่น ผ้าขี้ริ้วห่อทอง พระองค์นี้เป็นพระผ้าขี้ริ้วห่อทอง ทอง ทองคำในใจไง นี่ถ้าดูถูก ครูบาอาจารย์ท่านดูถูก เห็นไหม ดูถูกสร้างสมให้มันเจริญงอกงาม ไม่ใช่ดูถูกแบบกิเลส 

เวลาดูถูกกิเลส เห็นไหม เหม็นทั้งตัว แต่กูจะเหยียบมึง กูจะย่ำมึงให้อยู่ในอำนาจกูนะ แล้วใครมันจะไปอยู่ในอำนาจล่ะ ทุกคนที่บวชมาก็บวชมาเพื่อจะชำระล้างกิเลส บวชมาเพื่อสะสมคุณงามความดี ถ้าภาวนาได้ดี ด้วยอำนาจวาสนา ใครภาวนาได้เราก็สาธุนะ ใครภาวนาได้ดีขึ้นมา เพราะมีเป้าหมายของพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม นี่ไง เราเป็นบริษัท ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ ถ้าใครรื้อค้นขึ้นมาได้เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม นี่ได้สัมผัสธรรมๆ ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบแล้วกราบเล่าๆ เขาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร ก็กราบธรรมๆ กราบธรรมที่ใจได้สัมผัสไง

นี่ที่เรามาบวชเรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราก็ปรารถนาธรรมอันนั้นไง ถ้าเราปรารถนาธรรมอันนั้นเห็นไหม เรามุ่งเป้าสู่อันนั้นไง เรามีเจตนามุ่งสู่อันนั้นไง แล้วมันจะมีอะไร ความเป็นอยู่มันจะมีอะไร ศีลธรรมก็เป็นกรอบไว้เท่านั้นเอง เป็นกรอบไว้ให้มันเสมอภาคเหมือนกฎหมาย กฎหมายเขาใช้กับสังคม ให้สังคมเสมอภาคกัน ให้สังคมอยู่ด้วยกัน ธรรมวินัยก็เป็นอย่างนั้น ให้พวกเรานี่ได้ประพฤติปฏิบัติให้มันถูกต้องดีงาม 

แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาในหัวใจเห็นไหม นี่ไง ถ้ามันเป็นธรรมๆ ใจมันได้ธรรมอันนั้นนะ มันเป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนา เป้าหมายของภิกษุไง เป้าหมายของนักรบนี้ไง ถ้ามันได้ธรรมวินัยอันนั้นขึ้นมา นี่ไง ศาสนานี้ไม่ว่างเปล่าไง นี่ที่มันเป็นทุกข์เป็นใยอยู่นี่เพราะศาสนามันว่างเปล่าไง มันมีแต่คนเกลื่อนกล่น แต่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง ไม่มีอะไรเป็นสัจจะความจริงไง ถ้าไม่มีอะไรเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ถ้ามันมีธรรมๆ ขึ้นมาแล้วมันจะมีน้ำใจต่อกัน มันจะมีความผูกพันกัน มันจะมีความเมตตาธรรมค้ำจุนโลก ค้ำจุนหมู่สงฆ์ ค้ำจุนพวกเรา เพราะมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นค้ำจุนมา มันถึงมีสิ่งต่อเนื่องมา 

เพราะ เพราะโดยธรรมชาติ นรกสวรรค์ไม่มี ธรรมะไม่มี หมดกาลหมดเวลา กิเลสมันเป็นอย่างนั้น มันปิดกั้นหัวใจของสัตว์โลกทั้งนั้นนะ แล้วต่างคนต่างแสวงหา ต่างคนต่างพยายามดิ้นรน มันจะดิ้นรนไปได้อย่างไร เพราะตัวเองไม่มีวาสนา แต่เพราะมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พยายามของท่าน จนท่านมีสัจจะความจริงในใจของท่าน จนเป็นความมั่นใจในหมู่ชาวพุทธ มีความมั่นใจในภิกษุในการประพฤติปฏิบัติ ถึงพยายามขวนขวายกัน พยายามแสวงหากัน 

สมัยหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านเทศนาว่าการ เห็นไหม หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น มหานิกายทั้งนั้น มาญัตติเป็นธรรมยุติๆ เพราะญัตติแล้ว เพราะอยากได้ไง เพราะอะไร เพราะท่านเทศนาว่าการแล้วชี้ทาง เห็นไหม ให้ทุกคนมันมีช่องทางจะไปได้ เห็นไหม มันขวนขวายๆ ไง แล้วนี่เหมือนกันเราพยายามขวนขวายตรงนั้นไง ถ้ามันเป็นครูบาอาจารย์ท่านดูถูกต้องดีงาม ดูถูกนะ ดูถูกต้อง ดูกิเลสชัดเจน ดูธรรมชัดเจน 

แต่ถ้าเรามีกิเลสๆ นะ เราเหยียบย่ำเขา เราดูถูกดูแคลนด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูถูกดูแคลนด้วยความอยากเหยียบคนอื่น ไม่ใช่ดูถูกแบบธรรม ดูถูกแบบธรรมดูถูกดูชัดเจน ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลส เป็นสัจจะที่เราแสวงหาๆ เพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจของเรานี่มันจะได้เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้น ได้สัมผัสธรรมๆ ขึ้นมา แล้วเวลาหลวงตาท่านกราบพระ เห็นไหม กราบด้วยหัวใจ กราบด้วยจิตใต้สำนึก กราบด้วยชีวิต 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติไปแล้วได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญา ได้มรรคได้ผลแล้วนะ นั่นน่ะมันจะซึ้ง ซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะเห็นบุญเห็นคุณของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันจะเห็นบุญเห็นคุณของครูบาอาจารย์ของเราที่ขวนขวาย สละตายได้อย่างนั้นมาเพื่อให้สังคมมั่นคง แล้วเราได้อาศัยสิ่งนั้นเลี้ยงชีพอยู่นี่ แล้วพยายามกระทำของเราขึ้นมา แล้วให้มันดูถูกต้องดีงามชอบธรรมตามธรรม อย่าดูถูกตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูถูกตามกิเลสตัณหาทะยานอยากนั้นเป็นการดูถูกเหยียดหยาม เอวัง